balldoo
Menu

ที่มาของสินสอด และประโยชน์ที่ค่อยๆ หายไป

สินสอด เป็นธรรมเนียมของไทยที่สร้างความโกลาหลให้กับชีวิตคู่มาตั้งแต่นมนาน สินสอดอาจเป็นชนวนเหตุให้คนรักกัน และในบางครั้งสินสอดก็ทำให้คนเลิกกันได้ด้วยเหมือนกัน วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยอย่างสินสอดกัน

        อย่างที่เข้าใจทั่วกันว่าสินสอดคือทรัพย์สินที่ฝ่ายเจ้าบ่าวต้องมอบให้กับครอบครัวของเจ้าสาวในพิธี เพื่อเป็นการยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจและตอบแทนต่อครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาวที่เรากำลังไปสู่ขอ มักมาคู่กับคำว่า ทองหมั้น ที่หมายถึง ทรัพย์สินที่สามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้เพื่อมอบให้กับเจ้าสาวไว้เป็นทรัพย์สินและหลักประกันหลังจากแต่งงาน ที่มาของสินสอดทองหมั้นเกิดจากสมัยก่อนที่ยังไม่มีการสื่อสารที่ทำให้รู้จักคนได้มากนัก การแต่งงานระหว่างชายหญิงจึงไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เกิดจากการคลุมถุงชนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้ผู้หญิงเป็นหม้ายขันหมาก สินสอดจึงเป็นเหมือนเครื่องมัดจำสำหรับฝ่ายชายว่าจะไม่เบี้ยวในพิธีแต่งงานนั่นเอง


        อย่างที่ได้บอกไปว่าการแต่งงานในสมัยก่อนส่วนใหญ่มักเกิดจากการคลุมถุงชน ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความอุ่นใจกับครอบครัวฝั่งเจ้าสาวจึงมีการมอบทรัพย์สินไว้เพื่อเป็นหลักประกัน รวมถึงในภายภาคหน้าหากเกิดการหย่าร้างหรือฝ่ายชายเสียชีวิตหลังอยู่กินด้วยกันไป ฝ่ายหญิงก็จะได้มีเงินทุนไว้เลี้ยงดูตัวเองต่อได้ทันที

        เนื่องจากความไม่สมดุลของอัตราส่วนชายและหญิงในสังคมไทย การที่มีอัตราส่วนผู้ชายมากกว่าทำให้เกิดการแย่งคู่สมรสกันเกิดขึ้นได้ การแข่งขันกันเพื่อได้ครอบครองพิธีแต่งงานจึงได้เกิดขึ้นผ่านการจูงใจฝ่ายหญิงให้ยอมสมรสกับตนด้วยหลักทรัพย์เงินทองที่มี รวมถึงการที่มีหลักทรัพย์มากก็เป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้ใหญ่ในยุคที่มีการคลุมถุงชน และเป็นการสร้างสถานภาพทางสังคมได้อย่างชัดเจน หากคนมีฐานะมาสู่ขอก็จะได้เป็นเศรษฐี กลับกันหากได้ผู้ชายฐานะยากจนสถานภาพทางสังคมก็จะตกรองลงมา

        ก่อนที่สังคมไทยจะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม การหาเลี้ยงชีพจึงเป็นการอยู่รวมตัวเป็นครอบครัวใหญ่เพื่อทำไร่ทำนาแบบสังคมเกษตรกรรม สมาชิกทุกคนในบ้านจึงเป็นเหมือนแรงงานสำคัญในการผลิตพืชผลเพื่อเข้าสู่ระบบ(ครอบครัว) หากผู้หญิงต้องย้ายออกไปทำกินกับครอบครัวใหม่หลังจากแต่งงานก็เท่ากับว่าครอบครัวเดิมนั้นมีอัตราการผลิตที่ลดลง ฝ่ายชายจึงต้องชดเชยกำลังผลิตของครอบครัวฝ่ายหญิงด้วยสินสอดนั่นเอง

        มาจากแนวคิดการเลี้ยงดูบุตรสาวที่ก่อให้เกิดต้นทุน ทำให้ฝ่ายหญิงต้องขอค่าชดเชยจากการเลี้ยงดู หรืออาจมองในมุมกลับกันว่าการมีลูกสาวเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการเอาใจใส่มากกว่าลูกชาย จึงต้องเรียกเก็บค่าดูแล

        การเข้ามาของแนวคิดแบบตะวันตกและความรู้ที่มีมากขึ้นทำให้เกิดการถกเถียงว่าสินสอดยังมีความจำเป็นอยู่หรือเปล่า? หากมองในแง่ของคนรุ่นใหม่ก็จะได้รับคำตอบว่า การให้สินสอดที่เกิดจากการคลุมถุงชน เป็นธรรมเนียมที่โบราณล้าสมัยและขัดต่อหลักสิทธิของคนเราที่สามารถเลือกในสิ่งที่ต้องการได้ รวมถึงแนวคิดแบบสตรีนิยมก็ให้ความหมายของสินสอดว่าเป็นการลดคุณค่าของผู้หญิงลงจากการตีผู้หญิงเป็นราคา อีกทั้งการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงในปัจจุบันได้เรียนหนังสือและมีความฝันการทำงานเป็นของตัวเอง ทำให้หญิงสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาและแขวนความฝันไว้ที่ใครอีกต่อไป

       จากความสำคัญของสินสอดที่เคยสำคัญมากสำหรับครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นค่อยๆถูกลดคุณค่าลงในความคิดของทุกคน คือหลักฐานสำคัญที่บอกให้เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา สำหรับคนยุคใหม่คงชินแล้วกลับการเปลี่ยนแปลง

โพสต์โดย : Kingdom Kingdom เมื่อ 3 ก.ย. 2567 11:13:11 น. อ่าน 19 ตอบ 0

facebook