balldoo
Menu

เจริญสติอย่างรู้เหตุรู้ผล


เราเจริญสติก็รู้เหตุรู้ผลของการเจริญสติ ไม่ใช่เจริญเพราะว่าควร เห็นคนอื่นเขาเจริญเราก็เอาอย่างเขาบ้างอะไรอย่างนี้ อย่างนั้นทำโดยไม่รู้เหตุรู้ผล ถ้าเราเจริญสติอย่างรู้เหตุรู้ผล เราก็รู้เลยที่เรามีสติอยู่ เป็นไปเพื่อลดละอกุศล เพื่อเจริญกุศล ที่เรามีสมาธิไม่ใช่เพื่อเสพสุข ไม่ใช่เพื่อมีอิทธิฤทธิ์ ไม่ใช่เพื่อจะรู้โน่นรู้นี่ รู้อดีต รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นทำไปเพื่อพอกพูนกิเลส สมาธิที่ถูกต้องก็ทำไปเพื่อลดละกิเลส เพื่อลดละอกุศล เพื่อเจริญกุศล สมาธิที่จะเจริญกุศลได้จริงๆ คือทำให้เกิดปัญญาได้จริงๆ กุศลสูงสุดคือปัญญา สมาธิที่จะทำให้เกิดปัญญาคือตัวสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่จิตตั้งมั่น สมาธิที่เป็นความตั้งมั่นของจิต สมาธิไม่ใช่จิต ต้องบอกว่าสมาธิคือความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่คือจิตที่ตั้งมั่น จิตไม่ใช่ตัวสมาธิ จิตเป็นตัวรู้ แต่ตัวรู้ตัวนี้มีสมาธิที่ถูกต้อง ก็หล่อเลี้ยงตัวรู้ ตั้งมั่น
อย่างพวกเราภาวนา อย่างเรารู้ลมหายใจ แป๊บเดียวเรามีสติอยู่กับลมหายใจ แป๊บเดียวจิตไหลลงไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว อันนี้จิตไม่ตั้งมั่น จิตถึงถลำลงไปรู้อารมณ์กรรมฐาน หรือดูท้องพอง ดูท้องยุบ จิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลลงไปอยู่ที่ท้อง อันนี้ใช้ไม่ได้แล้ว มีสติแต่ไม่มีสมาธิที่ถูกต้อง มีสติเพ่งไปเรื่อยๆ ได้อะไร ได้สมถะ จะได้สมถะเฉยๆ แต่ถ้ามีสมาธิที่ถูกต้อง มันจะได้ปัญญา ในตำราถึงสอนบอก “สัมมาสมาธิ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา” ไม่ใช่สัมมาสติ ลำพังมีสติไม่เกิดปัญญาหรอก ต้องมีจิตตั้งมั่นด้วย สติระลึกรู้รูปธรรม นามธรรม ที่กำลังปรากฏ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง ตรงจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง มันเกิดจากจิตมีสัมมาสมาธิ ตรงที่จิตมันรู้รูปธรรม นามธรรมที่ปรากฏ เรียกว่ามันมีสติ ถ้ารู้รูปธรรม นามธรรม ที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง มันจะเห็นความเป็นจริงของรูปธรรม นามธรรม นั่นคือตัวปัญญา

โพสต์โดย : ใบเฟิร์น ใบเฟิร์น เมื่อ 24 ก.พ. 2567 14:24:15 น. อ่าน 31 ตอบ 0

facebook