balldoo
Menu

อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)

   แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida Albicans) เป็นเชื้อราประเภทยีสต์ที่พบได้ตามปกติในระบบทางเดินอาหารและช่องคลอด ระดับของแคนดิดาจะถูกควบคุมด้วยระบบภูมิคุ้มกันและโพรไบโอติกแบคทีเรีย (จุลชีพไม่ก่อโรคที่เป็นประโยชน์) ในร่างกาย  หากโพรไบโอติกแบคทีเรียถูกกำจัดโดยยาปฏิชีวนะ หรือหากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ยีสต์แคนดิดาจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไร้การควบคุม 
   การติดเชื้อเฉพาะที่ เช่น เชื้อราในช่องปาก การติดเชื้อราที่ผิวหนัง และในช่องคลอด อาจเกิดขึ้นในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนประสิทธิภาพอย่างมาก เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือเอดส์ และอาจเกิดการติดเชื้อแคนดิดาชนิดแพร่กระจายได้ การติดเชื้อซึ่งเป็นภาวะทางการแพทย์ที่รุนแรงคือ "การติดเชื้อแคนดิดาในกระแสเลือด (systemic candidiasis)"

   แพทย์แผนทางเลือกบางท่านเชื่อว่า การเพิ่มจำนวนอย่างไร้การควบคุมของยีสต์ Candida albicans ในลำไส้ จะทำให้เกิดภาวะเชื้อราในลำไส้ (yeast syndrome) ขึ้น  ภาวะเชื้อราในลำไส้จะทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน เยื่อบุไซนัสบวม ซึมเศร้า ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิ และอยากของหวาน ยีสต์แคนดิดาที่มากเกินไปในลำไส้อาจผ่านออกมาจากผนังลำไส้ ทำให้เกิดการดูดซึมสารที่ร่างกายไม่ต้องการ รวมทั้งดูดซึมยีสต์เข้าสู่ร่างกาย เชื่อกันว่า เศษชิ้นส่วนของยีสต์ที่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิด "ภาวะภูมิไวเกิน (allergic hypersensitivity)" ต่อแคนดิดา Yeast syndrome เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยนายแพทย์วิลเลียม ครูก (William Crook) จากหนังสือ The yeast connection ของเขาใน ค.ศ. 1983 และยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า กลุ่มอาการนี้ถูกวินิจฉัยมากเกินไปจากผู้ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและไม่เห็นด้วยกับความเที่ยงตรงของการวินิจฉัย

 - การใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน สเตียรอยด์ ยาลดกรด 
 - การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยครั้ง หรือใช้เป็นเวลานาน
 - การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
 - การตั้งครรภ์
 - การสูบบุหรี่
 - ภาวะแพ้อาหาร และภูมิแพ้อาหารแฝง หรือการรับอาหารไม่ได้ (food intolerance)
 - เบาหวาน

   แพทย์แผนทางเลือกบางรายใช้ "อาหาร" เพื่อจำกัดการเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของยีสต์แคนดิดา ดังเช่นที่นายแพทย์วิลเลียม ครูก แนะนำให้ผู้ที่มีการเจริญของยีสต์แคนดิดามากเกินไปรับประทานอาหารตามแนวทาง ดังนี้ 
 - หลีกเลี่ยงน้ำตาล ตามแนวคิดนายแพทย์ครูก น้ำตาลจะช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของยีสต์ จึงควรจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกที่เริ่มรับประทานอาหารนี้ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับต่อวันจะถูกจำกัดให้น้อยกว่า 60 กรัมต่อวัน ขึ้นกับอายุ สุขภาพ ระดับกิจกรรม และระดับของความไวต่ออาหาร เน้นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น เนื้อแดง เนื้อไก่ ไก่งวง ผักที่มีแป้งน้อย และถั่วเปลือกแข็ง (nuts) บางชนิดแทน เมื่ออาการดีขึ้นก็จะค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร
 - หลีกเลี่ยงอาหารที่มียีสต์ไม่ว่าชนิดใดก็ตามรวมถึงอาหารผ่านการหมักบ่ม เช่น ขนมปังที่ใช้ยีสต์ เนยแข็ง ซอสมะเขือเทศเข้มข้น เห็ด และเบียร์ โดยถึงแม้นายแพทย์ครูกจะเชื่อว่า ผู้ที่มีการเจริญของยีสต์แคนดิดามากเกินไปอาจจะแพ้เชื้อราประเภทอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ใช่แพทย์ทุกคนที่เห็นว่า การจำกัดควบคุมดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น
   ระยะเวลาที่ต้องรับประทานอาหารต้านแคนดิดาขึ้นกับระยะเวลาที่มีอาการและความรุนแรงของอาการ ทั้งนี้ระดับสุขภาพโดยทั่วไปก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับแพทย์ทางเลือกเมื่อจะวางแผนการรักษา ผู้ที่ตอบสนองต่อการรับประทานอาหารชนิดนี้มักรายงานว่า ใช้เวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ก่อนจะมีอาการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นที่สังเกตได้ สำหรับหลายๆ คน อาจใช้เวลานานหลายเดือน เมื่ออาการดีขึ้นมากพอแพทย์จะแนะนำให้ค่อยๆ เริ่มอาหารที่เคยต้องจำกัดใหม่อีกครั้ง

   อีกองค์ประกอบสำคัญในแนวทางของนายแพทย์ครูกคือ การใช้สมุนไพรและอาหารเสริม หรือในบางกรณีก็จะเป็นการจ่ายยาเพื่อลดปริมาณของยีสต์แคนดิดาในร่างกาย  แพทย์ทางเลือกมักแนะนำให้เริ่มสมุนไพรและอาหารเสริมด้วยปริมาณน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มขึ้น มิเช่นนั้น อาจมีอาการแย่ลงชั่วคราว เรียกว่า "ปฏิกิริยา Herxheimer" หรือ "ภาวะที่ยีสต์ตาย" เกิดขึ้น เชื่อว่า ปฏิกิริยานี้เกิดจากเมื่อยีสต์แคนดิดาตายจะปล่อยเศษชิ้นส่วนโปรตีนและสารพิษที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายออกมา

   มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นว่า การเจริญเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ของยีสต์แคนดิดานั้นพบได้บ่อย หรืออาหาร สมุนไพร อาหารเสริม จะสามารถช่วยลดภาวะนี้ได้ การศึกษาของเรามุ่งไปที่การใช้ยาปฏิชีวนะต่อเชื้อรา Nystatin ในคน 116 คน ที่คาดว่า มีภาวะการเจริญเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ของยีสต์แคนดิดา หลังจากการรักษาด้วยยา Nystatin เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า อาการดีขึ้นเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก บางคนในกลุ่มทดลองยังหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและอาหารที่มียีสต์ และรายงานว่า อาการดีขึ้นมากกว่าด้วย อีกการศึกษาหนึ่ง ประกอบไปด้วยผู้หญิง 42 คน กลับไม่พบว่า การใช้ Nystatin ทำให้อาการดีขึ้น การใช้การรักษาทางการแพทย์แผนทางเลือก หากคุณมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายก็ตาม การไปพบแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่า ความเจ็บป่วยบางอย่างสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการแพทย์ทางเลือก แต่โปรดจำไว้เสมอว่า การแพทย์แผนทางเลือกไม่สามารถใช้แทนการรักษาตามแนวทางมาตรฐานได้ในทุกกรณี

โพสต์โดย : solo solo เมื่อ 30 ม.ค. 2567 07:37:54 น. อ่าน 36 ตอบ 0

facebook