Menu
หน้าแรก
ดูบอลสด
ตารางบอล
วิเคราะห์บอล
เว็บบอร์ด
พบสารปรอทที่สูงในระดับอันตรายในอาหารทะเลบางชนิด
หากจะพูดกันตรง ๆ แล้ว
อาหารทะเลหลายชนิด เช่นปลาแซลมอน กุ้ง และปลาค็อดมีสารปรอท
ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วในปริมาณเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ความหวาดกลัวต่อการพบสารปรอทในอาหารทะเลยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ และหากจะกล่าวโดยรวมแล้ว ปลาก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อย่างไรก็ตาม
ทาง FDA กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงคำแนะนำเรื่องการบริโภคอาหารทะเล
ของหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หญิงที่เตรียมตัวจะตั้งครรภ์และเด็กเล็กให้ทันสมัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเจ้าหน้าที่ส่วนกลางและผู้อื่นอีกมากมายมีความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบประสาทจากสารปรอทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลต่อตัวอ่อนและเด็กเล็ก ๆ ที่กำลังเจริญเติบโตและอยู่ในช่วงมีพัฒนาการ
สารปรอทเข้าไปอยู่ในอาหารทะเลได้อย่างไร ?
สารปรอทเข้าไปอยู่ในอาหารทะเล ปลา และหอย
ผ่านทางวงจรแรกสุด ไอปรอทที่ระเหย(Hg0) ทั้งจากกระบวนการธรรมชาติ
(คิดถึงไฟป่าหรือว่ากระบวนการของภูเขาไฟ) และมลภาวะ (การเผาไหม้เชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์) ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ปรอทจะถูกออกซิไดซ์ไปเป็นรูปแบบ divalent inorganic (Hg2+) ซึ่งจะตกกลับลงมายังพื้นโลกกับฝน แบคทีเรียที่อาศัยในน้ำ เช่น plankton จะเติมกลุ่มเมทิล (methylate)ให้กับปรอท (ทำให้เกิด MeHg+ หรือ methylmercury) และ
ปรอทในรูปแบบดังกล่าวจะสะสมอยู่ในไขมันสัตว์ และเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหาร
ปลานักล่าที่มีชีวิตยืนยาวกว่า ซึ่งอยู่ในระดับบนของห่วงโซ่อาหาร เช่น ฉลาม ปลาดาบ และปลา king mekerel จะสะสมปริมาณปรอทไว้ค่อนข้างสูง การบริโภคโดยหญิงมีครรภ์และเด็กเล็กที่กำลังมีการพัฒนาของระบบประสาทจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าวิตกกังวล
ทำไม methylmercury จึงเป็นอันตราย ?
ปรอททั้งในรูปแบบ ionized mercury และ methylmercury จะจับกับ
กำมะถันที่พบในโปรตีน และรบกวนสภาพทางชีววิทยาในร่างกายของเราอย่างมากมาย
และน่าเป็นกังวล หากจะให้ระบุอย่างจำเพาะกว่านั้น ปรอทจะทำให้เกิด oxidative stress ต่อเซลล์ (การสร้างอนุมูลอิสระ) และรบกวน microtubules (รบกวนการแบ่งเซลล์) และ
อาจกระตุ้นการแพ้ภูมิตนเองที่เป็นอันตราย
ได้อีกด้วยที่จริงแล้ว เรายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าปรอททำลายร่างกายของเราอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับภาวะพิษจากสารปรอทก็เป็นเรื่องน่ากลัว
ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ methylmercury สร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายของเรา
- ตาบอด
- สมองพิการ
(cerebral palsy)
- ปัญหาด้านการเจริญเติบโต
- ปัญหาด้านสติปัญญา
- เหนื่อยอ่อน
- สูญเสียการได้ยิน
- เดินเซ
(ataxia-สูญเสียการประสานงานของกล้ามเนื้อที่อยู่ในความควบคุม)
- กล้ามเนื้อสั่น
- อัมพาต
(ภาวะพิษรุนแรง)
- เสียชีวิต
(ภาวะพิษรุนแรง)
- โรคหัวใจ
(งานวิจัยชิ้นใหม่บางชิ้นแสดงให้เห็นว่า methylmercury อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง atherosclerosis)
แน่นอนว่า
ผลข้างเคียงทางระบบประสาท เช่น สมองพิการและปัญหาด้านการเจริญเติบโตนั้นเกิดขึ้นในตัวอ่อนและเด็ก
ดังนั้นทาง FDA และองค์กรทางสุขภาพอีกหลายองค์กรจึงออกคำเตือนสำหรับประชากรกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าปรอทจะขับออกได้ทางตับและไต แต่ก็มีระยะครึ่งชีวิตในร่างกายยาว พูดอีกอย่างคือ
เราต้องใช้เวลานานกว่าจะกำจัดปรอทที่กินเข้า
ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น methylmercury ยังถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารเกือบทั้งหมด และผ่าน blood brain barrier ได้ดีมาก ทำให้สมองและไขสันหลังมีความไวต่อผลกระทบจากปรอทเป็นพิเศษ
ภาวะพิษจาก methylmercury นั้นค่อยเป็นค่อยไป และที่
ต่างจากภาวะพิษรูปแบบที่เกิดขึ้นเร็วกว่าของสารปรอท (mercury) คือการล้างพิษ (chelation) และการอาเจียนออกจะล้มเหลวในการกำจัดโลหะหนักนี้ออกจากร่างกาย
ที่จริงแล้วการป้องกันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้สำหรับ methylmercury กล่าวอีกอย่างคือวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับภาวะพิษของ methylmercury คือการหลีกเลี่ยงไม่กินเข้าไปตั้งแต่แรก
Methylmercury ในอาหารทะเลมีความหมายอะไรสำหรับคุณ ?
จากที่ทาง FDA และองค์กรอีกมากได้ชี้ให้เห็น เราต้องจำไว้ว่า
อาหารทะเลนั้นเป็นแหล่งของโปรตีน เกลือแร่ และวิตามินที่ดีต่อสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้น อาหารทะเลยังมีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง
เราทุกคน แม้แต่หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก ควรกินอาหารทะเลในปริมาณที่แนะนำในทางโภชนาการซึ่งดีต่อสุขภาพ ที่จริงแล้วจากคำแนะนำฉบับร่างล่าสุด ทาง FDA สนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และหญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์กินอาหารทะเลเป็นปริมาณ 8-12 ออนซ์ต่อสัปดาห์ และเด็กที่มีอายุ 2-8 ปี ควรกิน 3-6 ออนซ์ พูดอีกอย่างก็คือ คนกลุ่มดังกล่าวควรกินอาหารทะเลประมาณ 2-3 ส่วนของปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ทาง FDA แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์กินอาหารทะเล และเด็กเล็ก กินปลาที่มีปริมาณของ methylmercury ต่ำกว่า เช่น tilapia ปลาดุก (catfish) และปลาค็อด ยิ่งไปกว่านั้น ทางองค์กรยังแนะนำว่าไม่ให้บริโภคฉลาม ปลาดาบ ปลาking mekerel และปลา tilefish ที่จับได้จากนอกชายฝั่งอ่าว
ผู้ที่บริโภคปลาจากแหล่งน้ำจืดควรเอาใจใส่กับคำเตือนท้องถิ่นเกี่ยวกับระดับสารปรอท
และระมัดระวังปลาที่จับได้จากบริเวณที่อยู่นอกเหนือคำแนะนำ น่าสังเกตว่าถึงแม้ทาง FDA จะระบุว่าทูน่ากระป๋องมีสารปรอทในปริมาณต่ำ แต่การประเมินนี้ได้รับการโต้แย้งจากผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ออกมาเตือนแม่และเด็กให้หลีกเลี่ยงทูน่าเช่นกัน คำแนะนำของทาง FDA เป็นเพียงแค่คำแนะนำ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จำกัดการบริโภคอาหารทะเลที่เป็นปัญหาที่จะทำให้เกิดภาวะพิษจาก methylmercury ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และคุณเผลอกินสเต็กปลาดาบไปในช่วงมื้อสายวันวาเลนไทน์กับสามี ก็ไม่ต้องตกอกตกใจไป แค่พยายามเลี่ยงปลาประเภทดังกล่าวให้ได้มากที่สุดและลดปริมาณการกินปลาลงในวันที่เหลือของสัปดาห์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ FDA ได้กล่าวไว้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับ methylmercury ในอาหารทะเล แต่
ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็มีปริมาณปรอทในร่างกายที่ต่ำ แม้แต่ในผู้ที่กินปลาน้ำจืด ผู้ที่กินปลามากกว่าปกติ หรือทั้งคู่
ตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้จำแนกจำนวนผู้ใหญ่ที่มีระดับความเข้มข้นของสารปรอทในเลือด (total EPA blood mercury concentration) ที่สูงจนน่าจะเป็นอันตราย (มากกว่าหรือเท่ากับ 5.8 ไมโครกรัมต่อลิตร) ได้ 4.6% ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาชิ้นใหญ่อีกชิ้นก็ประมาณการว่ามี 0.5% ของผู้เยาว์ที่มีอายุ 1-19 ปีได้รับการลงทะเบียนไว้ว่ามีสารปรอทในเลือดอยู่ในระดับที่น่าเป็นกังวล
ตอบคำถาม
ตั้งคำถามใหม่
โพสต์โดย : solo
เมื่อ 29 ม.ค. 2567 04:31:40 น. อ่าน 32 ตอบ 0
Member
Login
ลืมรหัสผ่าน
|
สมัครสมาชิกใหม่
ดูฟุตบอลออนไลน์