balldoo
Menu

10 โบราณสถานที่น่าท่องเที่ยวในประเทศอิยิปต์

     กว่าจะมาเป็นพีระมิดรูปทรงสามเหลี่ยมอย่างที่เรารู้จักกัน รู้หรือไม่ว่าพีระมิดเคยมีรูปทรงแบบขั้นบันไดมาก่อน เราจะขอเปิดฉากประวัติศาสตร์สุดอลังการด้วยที่เที่ยวอียิปต์ที่แรกกับจุดเริ่มต้นของการสร้างพีรามิด ด้วยพีรามิดแห่งแรกที่ Saqqara 
     ย้อนไปเมื่อเมื่อ 2,630 ปี ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ Djoser ได้มีแนวคิดสร้างสุสานอันแสนยิ่งใหญ่โดยมีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายไว้เป็นฉากหลัง พีระมิดขั้นบันไดจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นแห่งแรกโดยก่อสร้างที่เมือง Saqqara ห่างจากเมือง Memphis เมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์ไปทางทิศใต้เล็กน้อย การออกแบบพีระมิดขั้นบันไดนั้นได้ไอเดียมาจากนักบวชคนสนิทของฟาโรห์นามว่า Imhotep ที่มีการนำหินก่อสร้างขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ในลักษณะแบบขั้นบันได เพื่อให้วิญญาณของฟาโรห์อยู่ใกล้กับทวยเทพบนฟากฟ้ามากที่สุด พีระมิดขั้นบันไดที่ Saqqara จะเป็นพีระมิดแห่งแรกของอาณาจักรอียิปต์ และจะเป็นต้นแบบของพีระมิดรุ่นต่อ ๆ มานั่นเอง
     นอกจากพีระมิดขั้นบันไดแล้ว ที่ Saqqara ยังมีพีระมิดอื่น ๆ อีกมากมายหลายร้อยแห่ง เพราะเป็นสถานที่สร้างสุสานของฟาโรห์องค์ต่าง ๆ แห่งอาณาจักรอียิปต์ หลังจากอียิปต์ล่มสลายพีระมิดหลายแห่งถูกทรายกลบฝังไปตามกาลเวลา จนถึงช่วงปีศตวรรษที่ 19 ก็ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีจนทำให้เผยความมหัศจรรย์กลับมาสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง

     หลังจากสร้างพีระมิดขั้นบันไดไปแล้ว ฟาโรห์ Sneferu รุ่นถัดมา ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของพีระมิด โดยจะเน้นการออกแบบให้ผิวด้านนอกเรียบเท่ากันทุกด้านให้เป็นทรงพีระมิดที่สมบูรณ์แบบ จึงได้เริ่มโครงการสร้างพีระมิดแห่งใหม่ที่ หมู่บ้าน Dahshur ใกล้ ๆ กับ Saqqara เดิม แต่หลังจากการดำเนินก่อสร้างไปแล้วสักพัก พบว่ามีการคำนวณทางวิศวกรรมผิดพลาดจึงต้องต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงอย่างกะทันหัน ทำให้ออกมาเป็นทรงพีระมิดโค้ง (Bent Pyramid) เรียกได้ว่าเป็นพีระมิดที่มีความเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่เกิดจากความผิดพลาดและมีรูปทรงที่ไม่เหมือนกับพีระมิดอันอื่น ๆ เลย
     แต่ถึงกระนั้นความผิดพลาดใช่ว่าจะส่งผลเสียซะทีเดียว เพราะพีระมิดอันต่อมาได้ถูกปรับปรุงให้มีรูปทรงสามเหลี่ยมที่สมมาตรขึ้น และตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งก็คือพีระมิดแดง (Red Pyramid) ซึ่งจะเป็นต้นแบบแห่งความสมมาตรที่สืบทอดไปยังพีระมิดรุ่นถัดไป สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว การเดินทางมาท่องเที่ยวที่ Dahshur คุณจะสัมผัสกับประสมการทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะพีระมิดทรงโค้งมีที่เดียวไม่ซ้ำใครในโลก

     พีระมิดแห่งกีซ่า ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ในยุคโบราณ อีกทั้งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในช่วงเวลาเมื่อหลายพันปีก่อนอีกด้วย พีระมิดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของฟาโรห์ผู้ล่วงลับ โดยใช้หินทรายและหินปูนมาก่อสร้างขึ้นเป็นชั้น ๆ ในทรงพีระมิด ซึ่งนับว่าเป็นงานสุดท้าทายทางวิศวกรรมในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง พีระมิดแห่งกีซ่านั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 3 หลัง เป็นของฟาโรห์ทั้ง 3 พระองค์ได้แก่ ฟาโรห์คูฟู ฟารโรห์เคเฟร่ และฟาโรห์เมนเคอเร โดยมีสฟิงซ์เป็นรูปปั้นผสมระหว่างสิงโตและคนคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าสุสาน กิจกรรมที่ต้องทำเมื่อมาเยือนที่นี่คือการขี่อูฐเที่ยวชมพีระมิด การชมแสดงแสงสีเสียง และถ่ายภาพสวย ๆ เป็นที่ระลึก
     มหาพีระมิดแห่งกีซ่านั้นถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของประเทศอียิปต์อย่างแท้จริง เพราะเป็นสถานที่ไฮไลท์หลักของนักท่องเที่ยวและภาพยนตร์ดังหลายเรื่องมักจะมาถ่านทำที่นี่บ่อย ๆ จนทำให้พีระมิดเป็นที่จดจำของสายตาชาวโลก สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวนั้นก็ทำได้ง่าย เพราะอยู่ใกล้กับกรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมมากมาย

     วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้า Senusret ที่ 1 และมีการปรับปรุงก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยราชวงศ์ Ptolemaic หรืออีก 1,800 ปี ต่อมา วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมือง Thebes เดิม โดยวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Amon องค์สำคัญที่ชาวอียิปต์นับถือกันในช่วงเวลาดังกล่าว จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือการผสมผสานทางวัฒนธรรมอียิปต์โบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมของกรีก เนื่องจากมีการสร้างต่อเติมในช่วงราชวงศ์ Ptolemaic ภายในวิหารถูกรายล้อมด้วยกำแพงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำ มีการจัดโซนภายในแบ่งออกเป็นหลายห้อง มีการแบ่งพื้นที่สร้างวิหารบูชาเทพต่าง ๆ หลายหลัง โดดเด่นสะดุดตาด้วยเสาหิน obelisk ตั้งตระหง่านอยู่ตรงด้านหน้ากลุ่มวิหาร และมีลานประกอบพิธีกรรมตรงกลาง พร้อมด้วยงานแกะสลักเสาหินอย่างอลังการ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา
     นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเดินชมกับงานสถาปัตยกรรมอันอลังการเหล่านี้ได้ทั้งวัน และมีมุมไฮไลท์ในการถ่ายรูปมากมาย โดยเฉพาะทางเดินด้านหน้าที่มีประติมากรรมแกะตั้งเรียงหลายอย่างเป็นระเบียบประหนึ่งเป็นการต้อนรับผู้ที่เดินทางมาถึงวิหารแห่งนี้ สำหรับใครที่ต้องการเดินทางมาชมวิหาร Karnak Temple ก็เดินทางมาไม่ยากเพราะตัววิหารตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเมือง Luxor เพียง 2.5 กิโลเมตรเท่านั้น

     หลังจากที่ราชวงศ์ของอียิปต์ได้สร้างพีระมิดเป็นสุสานมาอย่างยาวนาน ก็ถึงจุดที่ต้องปรับรูปแบบของการสร้างสุสานใหม่ให้ประหยัดงบประมาณและเลี่ยงต่อการโดนปล้นสุสาน Valley of the Kings หรือสุสานแห่งบรรพกษัตริย์ถึงถูกสร้างขึ้นมาบนริมฝั่งของแม่น้ำไนล์ใกล้กับเมือง Luxor เมืองหลวงสำคัญในสมัยนั้น การสร้างสุสานจะมีการปรับรูปแบบโดยการเจาะช่องภูเขาพร้อมทำเป็นห้องต่าง ๆ เพื่อเก็บพระศพของฟาโรห์องค์ต่างๆ ภายในมีงานจิตรกรรมภาพเขียนสีที่บอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย พร้อมกับเก็บสมบัติและของมีค่ามากมายให้กับฟาโรห์แต่ละพระองค์
     Valley of the Kings เป็นสุสานของฟาโรห์องค์ต่าง ๆ มากมาย กว่า 64 แห่ง แต่ที่เราคุ้นหูมากที่สุดก็คือสุสานของ Tutankhamun เนื่องจากสุสานนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยการงัดแงะหรือถูกทำลายมาก่อน ซึ่งยูเนสโก้ก็ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในเวลาถัดมา การเดินทางมาเที่ยว Valley of the Kings นั้นจะได้สัมผัสกับการเดินชมสุสานของราชวงศ์องค์สำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Tutankhamun, Rameses ที่ 2, Rameses ที่ 3 เป็นต้น ซึ่งในแต่ละสุสานก็จะมีการเขียนภาพจิตรกรรมที่บ่งบอกถึงชีวประวัติของฟาโรห์องค์นั้น ๆ เรียกได้ว่าให้กลิ่นอายของความตื่นเต้นในแนวผจญภัยในสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง

     ในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ ฟาโรห์ทุกองค์ที่ขึ้นครองราชย์จะเป็นเพศชายทั้งหมด แต่มีเพียงฟาโรห์ Hatshepsut องค์เดียวที่เป็นเพศหญิง และพระองค์มีความสามารถไม่ต่างจากชายใด ๆ เลยเช่นกัน การขึ้นครองราชย์ของฟาโรห์ Hatshepsut นั้นเริ่มต้นจากการที่พระองค์ที่เป็นมารดาเลี้ยงของฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 3 ได้ประกาศยึดอำนาจ และตั้งตนเองเป็นบุตรีของสุริยเทพ Amon-ra ซึ่งทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นฟาโรห์ โดยมีการทำพิธีและแต่งฉลองพระองค์ตามแบบฟาโรห์ชายทั้งหมด รวมถึงมีการติดหนวดออกว่าราชการด้วย จนเป็นที่มาของฉายาฟาโรห์หญิงมีหนวด
     สัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ Hatshepsut นั้นคือการสร้างวิหาร Temple of Hatshepsut ที่เมือง Luxor โดยเป็นการสลักงานสถาปัตยกรรมบนหน้าผาหินที่มีความสูงกว่า 300 เมตร ภายในนั้นมีงานภาพเขียนสีและงานแกะสลักอันสวยงาม ด้านนอกมีความเป็นพื้นที่โล่งตัดกับเสาหินต่าง ๆ มีการไล่ระดับทำเป็นระเบียงซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งสร้างจากหินปูนทั้งสิ้น นับว่าเป็นอีกจุดแลนด์มาร์กที่น่าถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการเดินทางมาเที่ยวที่นี่ก็แสนสบาย เพราะนั่งรถมาจากเมือง Luxor ไม่นานก็ถึง

     ในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ ฟาโรห์ทุกองค์ที่ขึ้นครองราชย์จะเป็นเพศชายทั้งหมด แต่มีเพียงฟาโรห์ Hatshepsut องค์เดียวที่เป็นเพศหญิง และพระองค์มีความสามารถไม่ต่างจากชายใด ๆ เลยเช่นกัน การขึ้นครองราชย์ของฟาโรห์ Hatshepsut นั้นเริ่มต้นจากการที่พระองค์ที่เป็นมารดาเลี้ยงของฟาโรห์ Tuthmosis ที่ 3 ได้ประกาศยึดอำนาจ และตั้งตนเองเป็นบุตรีของสุริยเทพ Amon-ra ซึ่งทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นฟาโรห์ โดยมีการทำพิธีและแต่งฉลองพระองค์ตามแบบฟาโรห์ชายทั้งหมด รวมถึงมีการติดหนวดออกว่าราชการด้วย จนเป็นที่มาของฉายาฟาโรห์หญิงมีหนวด
     สัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ Hatshepsut นั้นคือการสร้างวิหาร Temple of Hatshepsut ที่เมือง Luxor โดยเป็นการสลักงานสถาปัตยกรรมบนหน้าผาหินที่มีความสูงกว่า 300 เมตร ภายในนั้นมีงานภาพเขียนสีและงานแกะสลักอันสวยงาม ด้านนอกมีความเป็นพื้นที่โล่งตัดกับเสาหินต่าง ๆ มีการไล่ระดับทำเป็นระเบียงซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งสร้างจากหินปูนทั้งสิ้น นับว่าเป็นอีกจุดแลนด์มาร์กที่น่าถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการเดินทางมาเที่ยวที่นี่ก็แสนสบาย เพราะนั่งรถมาจากเมือง Luxor ไม่นานก็ถึง

     วิหารแห่งนี้มีความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งกว่าที่อื่น ๆ คือมีการก่อสร้างรูปปั้นสูงขนาด 21 เมตร เรียงอยู่บริเวณทางเข้าเด่นสะดุดตาผู้ชม โดยเป็นรูปปั้นพระเจ้า Rameses ประทับนั่งอยู่ร่วมกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ อีก 3 องค์ ส่วนตัวของวิหารมีการเจาะช่องเข้าไปในหน้าผาเข้าไปเป็นห้องต่าง ๆ และมีงานแกะสลักและงานจิตรกรรมมากมายให้ได้ชม วิหารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า Rameses ที่สอง ณ ริมทะเลสาบ Nasser เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานจากการที่อาณาจักรอียิปต์มีชัยเหนือนูเบีย และหลังจากที่อาณาจักรอียิปต์ล่มสลาย วิหาร Abu Simbel ก็ถูกทิ้งร้าง
     ในเวลาต่อมาเมื่อช่วงกลางปี 1,960 ทางรัฐบาลอียิปต์ได้มีโครงการสร้างเขื่อนบริเวณทะเลสาบ Nasser ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้วิหาร Abu Simbel ต้องจมอยู่ใต้น้ำ ทำให้ทางยูเนสโก้ต้องเข้ามายกพื้นวิหารแห่งนี้ให้สูงกว่าระดับน้ำในทะเลสาบ ซึ่งโครงการดังกล่าวนับเป็นการปรับปรุงทางโบราณสถานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เนื่องจากต้องเคลื่อนย้ายวิหารรวมถึงโครงสร้างภูเขาแทบทั้งหมด วิหาร Abu Simbel จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

     โอเอซิสแห่งนี้ตั้งอยู่ทางชายแดนตะวันตกของประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นจุดพักเส้นทางการค้าสมัยอาณาจักรอียิปต์มาแล้วกว่า 800 ปี ก่อนคริสตกาล อีกทั้งยังเป็นจุดพักของเหล่าผู้แสวงบุญ และผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในอียิปต์อีกด้วย จุดเด่นของโอเอซิสนี้คือวิหารของเทพ Amun ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา และยังมีร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ยังคงหลงเหลือให้เที่ยวชมอีกด้วย
     สำหรับ Siwa Oasis ในยุคปัจจุบันนี้ ยังมีจุดไฮไลท์อื่น ๆ ที่น่าสนใจนอกเหนือจากการเยี่ยมชมร่องรอยทางประวัติศาสตร์ด้วย อย่างการแวะพักผ่อนชมความสวยงามของหนองน้ำ รายล้อมด้วยทิวทัศน์ของต้นปาล์ม ให้อารมณ์การพักผ่อนแบบชิล ๆ ชาร์จพลังให้กับร่างกาย ตลอดจนการแวะตามร้านคาเฟ่เพื่อแวะชิมชาและผลอินทผาลัมของชาวพื้นเมือง

     เมืองประวัติศาสตร์อเล็กซานเดรีย ตั้งตระหง่านมายาวนานแล้วกว่า 2,000 ปี โดยเมืองแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้า Alexander มหาราช ที่เคยครองอาณาจักรอียิปต์ในช่วง 331 ปี ก่อนคริสตกาล เมืองแห่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเมืองท่าที่รวมศูนย์การทางการค้ากับอาณาจักรอื่น ๆ เป็นเมืองที่พระราชินี Cleopatra ทรงประทับอยู่ และเป็นเมืองที่มีโบราณสถานสำคัญตั้งอยู่ เช่น หอสมุดแห่งเมือง Alexandria, ประภาคารอเล็กซานเดรีย, สุสานของ Ceasar เป็นต้น
     จุดเด่นของเมืองเล็กซานเดรียคือความงามทางสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์อียิปต์โบราณกับวัฒนธรรมของโรมันไว้ด้วยกัน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของอียิปต์ผ่านการเดินทางไปท่อ
     เที่ยวตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ นอกจากนี้ เมืองอเล็กซานเดรียยังมีความเจริญแบบร่วมสมัยใหม่ มีประชากรอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายชาติพันธ์ุ สามารถหาโรงแรมที่พัก และอาหารการกินได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวชิล ๆ ไม่ลำบาก

โพสต์โดย : Kingdom Kingdom เมื่อ 4 ธ.ค. 2566 13:19:07 น. อ่าน 36 ตอบ 0

facebook