ซึ่งในอดีตก็เป็นเช่นนั้นมีหลายทีมมากใช้เวลาในการตกชั้นไปเล่นเดอะ แชมเปียนชิป แล้วกว่าจะรีเทิร์นกลับมาเล่นบนลีกสูงสุดอีกครั้ง บางทีมก็หายไปเลย อย่างเช่น โคเวนทรี, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ หรือมิดเดิลสโบรช์ ที่แต่ก่อนดังมากแต่สุดท้ายก็ตกชั้นยังไม่กลับมาลีกสูงสุดอีกเลย
มีอีก 3 ทีม ที่ทำได้ก็คือ วัตฟอร์ด เคยร่วงตกชั้น ในซีซัน 2019-2020, นอริช ซิตี้ ฤดูกาล 2019-2020 และเบิร์นลีย์ ฤดูกาล 2021-2022 ซึ่งทั้งหมดก็ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็ขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง
ในตอนแรกหลายคนก็เป็นกังวลใจเช่นกันเพราะในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา “จิ้งจอกสยาม” ได้ปล่อยแข้งตัวหลักไปหลายรายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งที่ย้ายไปซบ “ไก่เดือยทอง”
ทอตแนม ฮอตสเปอร์ และ
ฮาวีย์ บาร์นส์ ปีกจอมทะลุทะลวงที่ย้ายไปเล่นให้กับ “สาลิกา” นิวคาสเซิล
แถมการเสริมทัพของเลสเตอร์ ซิตี้ นั้นได้ตัวหลักๆแค่แฮร์รี วิงส์ กองกลางชาวอังกฤษและ คอนอร์ เคาดี ปราการหลังจอมแกร่งเลือดผู้ดี เข้ามา เสริมทัพ ทำให้หลายฝ่ายยิ่งเป็นกังวลอย่างหนัก
แต่กลับกลายว่า การมาของทั้งสองคนอุดจุดบอดของทีมได้เยอะพอสมควร และยิ่งมาผนึกกำลังกับตัวหลักๆในซีซันก่อนอย่างเจมี วาร์ดี กองหน้าตัวเก๋าชาวอังกฤษ, เคเลชิ อิเฮียนาโช, คีร์แนน ดรูว์บิวรี-ฮอลล์, วิลเฟร็ด เอ็นดีดี, เวาท์ ฟาเอส, มาร์ค อัลไบรท์ตัน และยานนิค เวสเตอร์ การ์ด ที่มีฝีเท้าในระดับพรีเมียร์ลีกอยู่แล้ว
จึงไม่น่าแปลกใจที่ “จิ้งจอกสยาม” กำลังทำ ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ในตอนนี้ โดยลงเล่นไป
ทั้งหมด 12 นัด ชนะ 11 นัด และแพ้เพียงแค่นัดเดียว เท่านั้น ทิ้งห่าง “ม้าขาว” อิปสวิช รองจ่าฝูง อยู่ 5 แต้มด้วยกัน
ทั้งเกมรุกที่ค่อนข้างดุดัน แถมยังมีจังหวะเข้าทำที่ค่อนข้างหลากหลายที่ตอนนี้ยิงไปมากที่สุด 26 ประตูด้วยกัน ขณะที่เกมรับก็ค่อนข้างเหนียวแน่นแบบสุดๆ
ลงเล่นไป 12 นัด เพิ่งเสียไปแค่ 7 เม็ดเท่านั้น เรียกได้ว่าการเข้ามาของนายใหญ่ชาวอิตาเลียนช่วยทำให้ “จิ้งจอกสยาม” กลายเป็นทีมที่ครบเครื่องที่สุดในลีกตอนนี้
ดูแล้วเลสเตอร์ ซิตี้ แม้ว่าอาจจะมีแผ่วบ้างหลังจากนี้ไปเมื่อเจอโปรแกรมเตะถี่ยิบ แต่ขุมกำลังโดยรวมก็ไม่น่าพลาดที่จะกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ในซีซันหน้า